๔ - รำลึกถึงท้อด
อาจารย์ ญาณิโก
วันที่ 27 เมษายนที่ผ่านมา เป็นวันที่ต้นไม้เบิกบานเต้นระบำไปตามกระแสลม บ่ายวันนั้นเอง คณะสงฆ์ได้เดินขึ้นเขาสู่คูลโอ้คซ์ ณ ใจกลางป่าวัดเรา เพื่อไปรำลึกถึงน้องท้อดกัน เด็กชายทัตชา ท้อด ตันสุหัช ได้ลาจากโลกนี้ไปครบ 14 ปีพอดีในวันนั้น ซึ่งยังมีเถ้าอัฐิเก็บไว้ในบ้านหินแกรนิตขาวน้อยๆ ตั้งไว้มีกำบังในโพรงรากของต้นโอ้คซ์เก่าแก่อันสูงตระหง่าน หลังจากช่วยกันทำความสะอาดบริเวณศาลน้อยนี้ให้ท้อด พวกเรานั่งภาวนากัน 45 นาที ก่อนร่วมสวดพระปริตรเพื่อปกป้องคุ้มครองด้วยคุณแห่งพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
หลวงพ่อปสันโนท่านเมตตาเดินไต่เขาไปจนถึงคูลโอ้คซ์ก่อนเริ่มร่วมนั่งภาวนาสมาธิกัน นับว่าผ่านมาอย่างน้อยแปดปีแล้วที่หลวงพ่อหยุดขึ้นเขาไปถึงที่นั่น ท่านได้รับบาดเจ็บหลายครั้งในอดีตทำให้ยากลำบากที่จะไต่เขาหรือเดินบนทางอันขรุขระอีกต่อไป คูลโอ้คซ์เป็นหุบเล็กๆ ซึ่งซ่อนอยู่ท่ามกลางหลายหุบเขาลึกในพื้นที่วัด แม้ยามที่บริเวณอื่นอาจมีลมกระโชกแรง ทว่าเมื่อมาถึงที่นี่ ลมแรงก็กลับกลายเป็นลมเอื่อยสบายๆ ช่วงที่เรานั่งภาวนากัน ก็มีกลิ่นหอมสมุนไพรอ่อนๆ จากต้นจันทน์เทศแคลิฟอร์เนียโชยมาพร้อมเสียงน้ำไหลลงมาตามลำธารโก้ทครีกข้างๆ เรา แล้วความทรงจำในอดีตเกี่ยวกับน้องท้อดเมื่อ 15 ปีก่อนก็หวนคืนมาอีกครั้ง ย้อนกลับไปเมื่อต้นปี ค.ศ. 2005 ท้อดได้บวชเป็นสามเณรที่วัดอภัยคีรี เมื่ออายุ 9 ขวบ พิธีเริ่มจากการโกนผมโดยพระอาจารย์ประทีปผู้มาจำพรรษาจากเมืองไทยกับพวกเราในเวลานั้น อาตมาถือขันน้ำกับโฟมไว้โกน จำได้ว่าอาจารย์อหิงสโกอยู่ตรงนั้นด้วยท้อดส่งเสียงขึ้นมาจากการที่หัวปราศจากผมว่า “เย็นจัง! เย็นศีรษะครับ!” จากนั้นหลวงพ่อปสันโนก็ได้เมตตาทำพิธีบรรพชาสามเณรพร้อมกับตั้งชื่อภาษาบาลีให้ว่า ปิยสีโล แปลว่า ผู้มีศีลน่ารัก ท้อดเป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียอย่างรุนแรง เตรียมเข้ารับการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิดซึ่งจะใช้เวลาเข้ารักษายาวนานหลายเดือนในโรงพยาบาล เริ่มจากการรอรับบริจาคเซลล์ที่เข้ากันได้ดี
เพราะท้อดเป็นลูกบุญธรรมที่ไม่อาจตามหาพ่อแม่พี่น้องสายเลือดเดียวกันมาได้ก่อนเข้ารักษา คุณพ่อคุณแม่พาท้อดกลับเมืองไทย กราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์รวมทั้งหลวงพ่อโอภาส ผู้เป็นที่เคารพยิ่ง เพื่อขอพรและคำแนะนำซึ่งท่านบอกให้ท้อดบวชเณรแม้จะช่วงสั้นก็ตาม เป็นการเตรียมความพร้อมทางด้านจิตใจและสร้างบุญกุศลก่อนเข้ารักษา แต่ละวันที่อยู่กับสามเณรปิยสีโลนั้นสนุกสนานพอสมควร เณรตื่นมาสวดมนต์ทำวัตรเช้าทุกวันก่อนตี 5 ที่ไม่ง่ายเลยสำหรับเด็ก 9 ขวบ พระสองสามรูปคอยช่วยกันติดเข็มกลัดซ่อนปลายเพื่อช่วยไม่ให้จีวรหลุด แล้วเณรน้อยก็พยายามอย่างมากที่จะไม่นั่งหลับระหว่างสวดมนต์ ต่อด้วยการนั่งสมาธิราวหนึ่งชั่วโมง พอถึงครึ่งเวลาของการนั่งสมาธิก็จะมีเสียงเตือนจากเครื่องติดที่แขนเพื่อฉีดยาขับเหล็กที่เกินอันมาจากการเติมเลือดประจำ มีวันหนึ่ง จู่ๆ เณรก็ลุกพรวดวิ่งออกจากศาลาระหว่างการนั่งสมาธิหลังเสร็จการทำวัตร อาตมาไปดูว่าเณรเป็นอย่างไร ท้อดตอบว่า “ขอโทษครับที่ลุกออกไป ผมเกิดท้องเดินขึ้นมาครับ” สามเณรท้อดช่างมีเมตตาและหัวใจอันบริสุทธ์ยิ่ง ทำให้สุขใจเมื่ออยู่ด้วย เณรมีบาตรประจำตัวที่ใหญ่มาก และได้ออกรับบิณฑบาตด้วย ญาติโยมต่างมีความปลาบปลื้มที่ได้ถวายอาหารแก่สามเณร เด็กน้อยไร้เดียงสาร่าเริงให้พลังใจอย่างมากแก่พระสงฆ์ในระหว่างที่มาช่วยกันทำงานต่างๆ รวมทั้งการล้างบาตรหลังฉัน อาตมายังจำได้ด้วยว่า มีช่วงบ่ายๆที่มาใช้เวลากับเณร วาดรูปด้วยกัน เณรชอบสปอนจ์บ็อบมากซึ่งอาตมาก็พยายามวาดภาพเหมือนให้ เณรบอกว่า “หลวงพี่วาดได้ดีทีเดียวครับ” ในช่วงต้นฤดูร้อน ก่อนมาบวชเณร ท้อดได้เรียนศิลปะวิถีพุทธกับครูที่เชียงใหม่ซึ่งก็วาดรูปพระพุทธเจ้าไว้หลายรูป ต่อมา ช่วงอยู่ในโรงพยาบาลมีระยะเวลาที่หมอให้อาหารทางสายยางและงดทานอาหารหลายวันที่ทำให้หิวมาก ท้อดก็ฝันเห็นพระพุทธเจ้าและพระสาวกเสด็จมา และได้ทำอาหารหลายอย่างถวายและยังบอกคุณพ่อคุณแม่ว่า ฝันเห็นหลวงพ่อครูบาอาจารย์ทุกรูปและได้กราบท่าน
หลังจากบวชครบเจ็ดวัน อาตมาถามเณรว่า “น้องเณรคิดว่าจะกลับมาและบวชอยู่กับหลวงพ่อหลวงพี่อีกไหม?” เณรตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ครับหลวงพี่ ผมอยากกลับมาอีก ผมต้องไปเข้าโรงพยาบาลผ่าตัดใหญ่ก่อนแล้วผมก็จะได้กลับมา”หลังจากนั้นไม่นานอาตมาก็เดินทางสู่ประเทศไทยเป็นเวลาหนึ่งปี และก่อนครบปีก็ได้ทราบข่าวว่าท้อดจากไปเสียแล้วที่โรงพยาบาล อาตมารู้สึกเศร้าใจต่อข่าวนี้ ได้ตั้งตารอว่าจะได้พบท้อดอีก ร่างกายน้อยๆไม่รับเซลล์ต้นกำเนิดจากผู้บริจาคที่ไม่ใช่สายเลือดแม้จะตรงกัน 99 เปอร์เซ็นต์ ต้องให้ยากดภูมิคุ้มกันมากจนติดเชื้อในระบบสำคัญของร่างกาย ความตายเป็นอย่างนี้เอง ความจริงแห่งชีวิต แต่อาตมาก็ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้นเลย ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด ทว่าเป็นเพียงการเปลี่ยนผ่าน เราต่างก็ต้องหาหนทางเดินหน้ากันต่อไป ความเศร้าอาลัยไม่จำเป็นต้องขจัดไป แต่ว่านำมาย่อยสลายและหลอมรวมสู่ทางเดินชีวิตใหม่ที่เปี่ยมด้วยการพิจารณาใคร่ครวญและความสงบใจ
กลับมาสู่วันนั้นบนเขา เมื่อใกล้สิ้นสุดการนั่งภาวนา สมาชิกสงฆ์ก็ได้เดินทางมาเพิ่มอีกที่คูลโอ้คซ์ เราร่วมกันสวดมนต์และส่งความปรารถนาดีอย่างจริงใจพร้อมกับพรอันประเสริฐไปยังท้อด ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม และส่งต่อไปยังครอบครัวของท้อดกับเพื่อนๆของเขาด้วย หากท้อดยังมีชีวิตอยู่ปีนี้ก็จะอายุ 25 ปีแล้วซีนะ ซึ่งอาตมาอยากหวังว่าเขาคงเป็นภิกษุรูปหนึ่งที่วัดอภัยคีรีแห่งนี้ ดังที่เราเคยคุยกันเมื่อกาลก่อน…